วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555




ประเพณีไทย 4 ภาค


ภาคเหนือ
พระธาตุดอยสุเทพ

ประเพณีการแข่งเรือ
ประเพณีแข่งเรือ


ประเพณี :  การแข่งเรือ

จังหวัด :   นครสวรรค์ 


ช่วงเวลา :

              หลังออกพรรษา ภายในเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก ชาวบ้านจะจัดให้มีงานเทศกาลไหว้พระ และแข่งขันเรือยาวกัน 

ความสำคัญ :

              การแข่งเรือในจังหวัดนครสวรรค์มีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะที่วัดเกาะหงษ์ ตำบลตะเคียนเลื่อน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จะมีเรือที่มีชื่อเสียงจากต่างจังหวัดมาร่วมแข่งขันมากมาย ปัจจุบันจังหวัดเป็นผู้จัดการแข่งขันกันบริเวณสะพานเดชาติวงศ์ 

พิธีกรรม :

              การแข่งขันเรือยาวจะจัดให้มีในงานเทศกาลปิดทองไหว้พระ ประจำปีของวัด และจะแข่งขันเรือยาวกันในวันพระและกำหนดการแข่งขันเรือยาวของแต่ละวัดจะไม่ซ้ำกัน ประเภทของเรือที่แข่งขันจะเป็นเรือขนาดกลางฝีพาย ๒๐ - ๕๐ คน ความยาวประมาณ ๑๕ วา ที่หัวเรือจะผูกผ้าแพรสีต่าง ๆ มีพวงมาลัยคล้อง มีบายศรี และธงประจำเรือ ก่อนจะนำเรือลงแข่งขันจะมีพิธีไหว้แม่ย่านางเรือก่อน เพื่อเป็นศิริมงคลและขอพร ให้ได้รับชัยชนะ การแข่งขันจะมีผู้ใหญ่ในจังหวัดเป็นกรรมการตัดสิน โดยก่อนแข่งขัน จะจับสลากเลือกทุ่น และพายตามกระแสน้ำไปตามทุ่น เรือลำไหนถึงทุ่นก่อน เรือลำนั้นเป็นผู้ชนะ จากนั้นมีการมอบถ้วย และเงินรางวัลเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี 

สาระ :
              สร้างความสนุกสนาน ฝึกความเป็นระเบียบ สร้างความสามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกันระหว่างชุมชนในท้องถิ่นเดียวกัน และสมานสามัคคีกับคนต่างถิ่น 

 ประเพณีไหว้พระธาตุดอยตุง 

ดอยตุง

ประเพณี : ไหว้พระธาตุดอยตุง   

จังหวัด : เชียงราย 

ช่วงเวลา :

          วันเพ็ญเดือน ๖ เหนือ (เดือน ๔ ไทยกลาง) หลังวันมาฆบูชา ๑ เดือน 

ความสำคัญ :

          พระธาตุดอยตุง เป็นปูชนียสถานเก่าแก่ของชาวพุทธในเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งชาวพุทธในรัฐเชียงตุง ประเทศพม่า และในประเทศลาว การไหว้พระธาตุดอยตุงเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น 

พิธีกรรม :

          ในวันเพ็ญเดือน ๖ พุทธมามะกะจากทุกทิศ จะเดินทางขึ้นไปบนยอดดอยตุง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย กิจกรรมในวันนั้นภาคกลางวัน มีการบูชาพระรัตนตรัย รับศีล และฟังเทศน์ กลางคืนมีการเวียนเทียน รอบองค์พระธาตุ ในอดีต ผู้ที่เดินทางมักเดินจากเชิงเขาที่บ้านห้วยไคร้ อำเภอแม่สายขึ้นไปเป็นระยะทางประมาณ ๙ กิโลเมตร ปัจจุบันนี้ นิยมเดินทาง ด้วยรถยนต์ตามถนนลาดยางที่แยกจากถนนพหลโยธินที่บ้านสันกอง อำเภอแม่จัน ส่วนผู้ที่นิยมเดินขึ้นเหลือน้อยลง เพราะถนนสำหรับรถยนต์ได้ทับเส้นทางเดินเท้า หลายแห่ง

สาระ :
           ประเพณีของชาวพุทธมีการสมาทานศีลและการฟังเทศน์เป็นหลักซึ่งเป็นไป เพื่อชำระจิตใจให้ปราศจากกิเลส และฝักใฝ่ทางกุศล การเดินทางขึ้นไป บนยอดดอยตุงแสดงให้เห็นศรัทธา ความเพียร และความอดทน 

ประเพณีแหล่ส่างลอง (แห่ลูกแก้ว) 


ประเพณีแหล่ส่างลอง

ประเพณี : แหล่ส่างลอง (แห่ลูกแก้ว) 

จังหวัด :  ตาก 

ช่วงเวลา : กลางเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน 

ความสำคัญ :

      ๑. เป็นการอนุรักษ์ประเพณีที่มีมาแต่เดิม
      ๒. ให้เด็กนักเรียนได้ใช้เวลาระหว่างปิดภาคเรียนได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา
       ๓. พ่อแม่ผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานเข้าบวชถือเป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ 

พิธีกรรม :

             ลักษณะการบวชเณรของชาวแม่สอดจะมีอยู่ ๒ ลักษณะ คือ
       ๑. แบบข่านหลิบ (บวชเรียบง่าย) คือผู้ที่ตกลงใจบวช พ่อแม่ผู้อุปถัมภ์ก็จะนำผู้ที่จะบวช ไปโกนหัวนุ่งผ้าขาวพร้อมด้วยสำรับกับข้าวแบบข้าวหม้อแกงหม้อ ไปวัดให้กับพระภิกษุสงฆ์ ทำพิธีบวชเณรให้ก็เป็นอันเสร็จ
       ๒. การบวชเณรโดยมีการแหล่ส่างลอง(แห่ลูกแก้ว)ซึ่งจะมีการแต่งตัวให้กับลูกแก้วอย่างสวยงาม มีการตกแต่งปะรำพิธี โดยแต่งตัวให้เด็กในลักษณะของส่างลองอย่างสวยงามเมื่อพร้อมกันหมดแล้ว ส่างลองทั้งหมดก็จะไปรับศีลจากพระ  จากนั้นก็จะนำส่างลองขี่คอ(ถ้าเด็กตัวเล็ก) ขี่ม้า ขี่ช้าง นั่งรถ ที่ตกแต่งอย่างสวยงามแห่แหนไปรอบตัวเมืองแม่สอด ขบวนแห่จะมีการละเล่น   มีดนตรีของพม่า ประกอบการแห่อย่างครึกครื้น  มีการเอาส่างลองเดินพร้อมกับโปรยข้าวตอกดอกไม้อย่างสนุกสนาน ขบวนส่างลองจะถูกนำไปยังบ้านของพ่อแม่หรือผู้ที่บวชเพื่อให้ดูตัว (ส่างลองจะไม่กราบไหว้ผู้บวช ให้นอกจากพ่อแม่เท่านั้น เพราะถือว่าส่างลองคือเจ้าชายผู้มีบุญอันยิ่งใหญ่มีศักดิ์สูงมาก) แล้วจะแห่ ส่างลองไปยังศาลเจ้าเมืองซึ่งตั้งอยู่ที่ตลาดเหนือของอำเภอแม่สอดแล้วจึงแห่กลับมาที่วัด ถ้าต้องการแห่หลายรอบก็ใช้เวลา ๒ วัน ถ้าแห่รอบเดียวก็ใช้เวลา ๑ วัน  เมื่อมาถึงวัดก็จะนำส่างลอง ไปโกนผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยผ้าขาว แล้วจัดสำรับกับข้าวด้วยอาหาร ๑๒ อย่าง ขาดเกินไม่ได้ เสร็จแล้วจึงมีการทำขวัญแล้วทำการบวชเณร การบวชมักนิยมบวชกันตอนเย็น หรือไม่ก็ตอนเช้า เมื่อบวชเณรแล้วก็จะมีการฉลองโดยการถวายภัตตาหารแก่พระใหม่และพระภิกษุของวัดทั้งหมด ตลอดจนมีการเลี้ยงผู้มาร่วมงานอย่างเต็มที่รับฟังธรรมะ จึงเป็นอันเสร็จพิธี

สาระ :
         แหล่ เป็นภาษาไทยใหญ่ว่าหมายถึง แห่ ส่างลอง หมายถึง ลูกแก้ว ชาวไทยใหญ่และชาวไทย ผู้นับถือพุทธศาสนาในเขตอำเภอแม่สอด มักจะบวชเณรลูกหรือหลานของตนเองในช่วงปิดภาคเรียน ระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกๆ ปี เนื่องจากว่างจากการทำงานและลูกหลานไม่ได้ไปโรงเรียน ทั้งต้องการให้ลูกหลานมีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในช่วงปิดเทอม    การจัดงานบวชลูกแก้ว(แหล่ส่างลอง)นั้น ถือว่าผู้ที่บวชลูกชายตนเองจะได้บุญหรืออานิสงส์มากถึง ๗ กัลป์ ถ้าบวชลูกชายคนอื่นจะได้บุญ ๔ กัลป์ และถ้าได้บวชลูกชายตนเองเป็นพระภิกษุ จะได้บุญ ๑๖ กัลป์ ถ้าบวชลูกชายคนอื่นเป็นภิกษุจะได้บุญ ๘ กัลป์ จึงมักจะมีผู้ที่มีฐานะดีหลายคนนิยมหาเด็กผู้ชายมาบวช โดยจะไปทาบทามจากผู้ปกครองที่มีฐานะยากจนและถือเป็นการสร้างบุญกุศลร่วมกัน

ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ 


ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ

ประเพณี :   อุ้มพระดำน้ำดำ 

จังหวัด : เพชรบูรณ์ 

ช่วงเวลา : เทศกาลสารทไทยตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ 

ความสำคัญ : 

           ประเพณีอุ้มพระดำน้ำเป็นประเพณีที่มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย เกิดจากควาเชื่อjเกี่ยวกับอภินิหารของพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองคือพระพุทธมหาธรรมราชา ซึ่งคนหาปลาสองสามีภรรยาทอดแหได้ที่วังเกาะระสารในบริเวณลุ่มน้ำป่าสักในเขตตัวเมืองเพชรบูรณ์  จึงนำไปไว้ที่วัดไตรภูมิเมื่อถึงเทศกาลสารทพระพุทธรูปองค์นี้จะหายไปและชาวบ้านจะพบมาเล่นน้ำที่บริเวณที่ค้นพบเดิม ดังนั้นในเทศกาลทำบุญสารทหลังจากทำบุญเสร็จแล้วจะมีพิธีอัญเชิญ พระพุทธมหาธรรมราชาลงริ้วขบวนเรือไปสรงน้ำที่วังเกาะระสาร แต่ปัจจุบันนำมาทำพิธีที่ท่าน้ำของวัดโบสถ์ชนะมารในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐

พิธีกรรม/กิจกรรม :

          ๑. จัดให้มีการตั้งศาลเพียงตาแล้วอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชามาประทับ
ทำพิธีสวดคาถาโดยพราหมณ์ผู้ทำพิธีนุ่งขาวห่มขาวแล้วอัญเชิญขึ้นบนบุษบก
ให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาและมีงานฉลองสมโภช
           ๒. จัดให้มีพิธีอุ้มพระดำน้ำในตอนเช้าหลังทำบุญสารทโดยมีขบวนเรือแห่
นำไปโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อถึงบริเวณวัดโบสถ์ชนะมาร เจ้าเมืองพร้อมข้าราชบริพาร
จะอุ้มพระลงดำน้ำ โดยหันหน้าองค์พระไปทิศเหนือ ๓ ครั้ง ทิศใต้ ๓ ครั้ง ชาวบ้านจะโปรย
ข้าวตอก ดอกไม้และข้าวต้มกลีบ เมื่อดำน้ำเสร็จชาวบ้านจะตักน้ำรดศีรษะและรดกันเอง
เพื่อเป็นสิริมงคล

สาระ :
             ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าทำพิธีอุ้มพระดำน้ำแล้วจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล



ภาคกลาง
วัดพระแก้ว


ประเพณีสู่ขวัญข้าว 

สู่ขวัญข้าว

ชื่อประเพณี :  สู่ขวัญข้าว

จังหวัด :    นครนายก

ช่วงเวลา :

             ประเพณีสู่ขวัญข้าว (ทั่วไป) บุญสู่ขวัญข้าว (หมู่บ้านเนินใหม่ ตำบลโคกกรวด) เรียกขวัญข้าว (หมู่บ้านท่าด่าน) กระทำในวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓

ความสำคัญ :

            เพื่อเรียกขวัญพระแม่โพสพที่ตกหล่นตามท้องนาขึ้นสู่ยุ้งฉาง บูชาพระแม่โพสพ ป้องกันศัตรูพืชและสัตว์ทำลาย เพื่อให้ได้ผลผลิตมากในปีต่อไป

พิธีกรรม :

            โดยทั่วไปชาวนาต่างก็ทำพิธีโดยให้เจ้าของนาฝ่ายหญิงนุ่งขาว ห่มขาวเป็นผู้ทำพิธีตอนเช้าตรู่โดยเตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ ข้าวต้มเผือก มัน ไข่ ขันธ์ ๕ ขวดน้ำ แก้วแหวนเงินทอง แป้ง หวี กระจก ผ้าสไบ (อาจมีเพิ่มเติมหรือแตกต่างตามท้องถิ่น) นำสิ่งของเหล่านี้ห่อด้วยผ้าขาว ใส่กระบุงหรือบางท้องที่ปิดกระบุงด้วยผ้าขาว นำขอฉายคอนกระบุง(บางหมู่บ้านใช้ผ้าสี ผูกให้สวยงาม) เดินไปตามท้องนา เจตนาของตน ร้องเรียกแม่โพสพ ใจความคือเชิญแม่โพสพที่ตกหล่นอยู่ให้มาอยู่ในยุ้ง ฉาง บางหมู่บ้าน เพื่อนบ้านขานรับจนถึงบ้าน นำกระบุงไปไว้ในยุ้งข้าว บางหมู่บ้านมีพราหมณ์ทำพิธีเรียกขวัญเข้ายุ้ง โดยมีการตั้งบายศรี และเครื่องไหว้ในยุ้ง การสู่ขวัญด้วยสำนวนหรือภาษาถิ่นที่แตกต่างกันออกไป ในปัจจุบันประเพณีสู่ขวัญข้าวยังคงกระทำอยู่ในหมู่บ้านทั้งสี่อำเภอ เช่น หมู่บ้านหนองโพธิ์ ตำบลศรีนาวา สู่ขวัญข้าวร่วมกันและทำบุญเลี้ยงพระด้วย

สาระ :

            เพื่อเป็นการบำรุงขวัญและความเชื่อของชาวนา รวมถึงการแสดงความกตัญญูต่อพระแม่โพสพ เพื่อบันดาลให้ข้าวในปีหน้าได้ผลผลิตดียิ่งขึ้น


ประเพณีวิ่งควาย

วิ่งควาย
 
ชื่อประเพณี :  วิ่งควาย

จังหวัด :   ชลบุรี

ช่วงเวลา : 
          ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๑๑ ก่อนออกพรรษา ๑ วัน ของทุกปี

ความสำคัญ : 
           ประเพณีวิ่งควาย เป็นประเพณีเกี่ยวกับอาชีพเกษตรกรรมซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน จุดมุ่งหมายเพื่อใหว้ชาวบ้านได้เตรียมของไปถวายวัด ปัจจัยไทยธรรมได้พักผ่อนและได้สังสรรค์กันระหว่างชาวบ้านซึ่งเหนื่อยจากงานและให้ควาย
ได้พักเนื่องจากต้องตรากตรำในการทำนา    
            ปัจจุบันประเพณีวิ่งควายเป็นประเพณีของจังหวัดชลบุรี โด่งดังเป็นที่รู้จักของชาวไทยและต่างประเทศ

พิธีกรรม : 
            ประเพณีวิ่งควาย จะจัดในช่วงเช้าเพื่อให้ควายได้พักจากการไถนาชาวไร่ชาวนาจะนำควายมาประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ชาวไร่ชาวนาที่มาด้วยก็ขี่ควายเดินไปตามตลาดและวิ่งอวดประกวดกันเป็นที่สนุกสนาน ปัจจุบันนำควายมาประกวดความสมบูรณ์และประลองฝีมือโดยจัดให้มีการแข่งขันวิ่งควาย

สาระ : 
             แสดงถึงความสามัคคีของชาวไร่ชาวนาได้มีโอกาสพบปะกัน และแสดงเมตตาต่อผู้มีบุญคุณ คือควายเพื่อให้ควายได้พักผ่อนในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ก่อนออกพรรษาซึ่งเป็นวันใกล้สิ้นฤดูฝนจะย่างเข้าฤดูหนาว ประเพณีวิ่งควายเป็นประเพณีที่จัดเป็นประจำทุกปี ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ เหตุที่เลือกเอาวันนี้เพราะเป็นวันพระชาวไร่ชาวนาเอาควายมาเทียมเกวียนบรรทุกกล้วย มะพร้าว ใบตอง ยอดมะพร้าว มาขายเพื่อคนในเมืองจะได้ซื้อไปห่อข้าวต้มหาง  ทำบุญตักบาตรวันเทโวโรหนะ วันออกพรรษาขากลับจะได้มีโอกาสซื้อของ
ไปทำบุญเลี้ยงพระตามวัดวาอารามใกล้เคียงในวันพระและวันออกพรรษา ประเพณีวิ่งควาย 
               ปัจจุบันในเขตเทศบาลเมืองชลบุรี จัดขึ้นวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ อำเภอบ้านบึง  จัดวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตลาดหนองเขิน ตำบลหนองชาก อำเภอบ้านบึง   จัดวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ วัดกลางดอน ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี   จัดวิ่งควายในการทอดกฐินประจำปีของวัด

ประเพณีตักบาตรน้ำผึ้ง


ตักบาตรน้ำผึ้ง


ชื่อประเพณี :  ตักบาตรน้ำผึ้ง

จังหวัด :  สมุทรสาคร

ช่วงเวลา :  กลางเดือน ๙ ของทุกปี

ความสำคัญ :
         การตักบาตรน้ำผึ้ง เป็นประเพณีการถวายน้ำผึ้งแก่ภิกษุและสามเณรของชาวรามัญที่วัดพิมพาวาส อำเภอบางปะกง สืบเนื่องมาจากความเชื่อว่าในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเสด็จประทับที่ป่าเลไลย์ มีช้างและลิงคอยอุปัฏฐากโดยการนำเอาอ้อยและน้ำผึ้งคอยถวายต่อมาจึงทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุสามเณรรับน้ำผึ้งและน้ำอ้อยมาบริโภคเป็นยาได้

พิธีกรรม :
           การตักบาตรน้ำผึ้งมักจัดกันที่ศาลาวัด ขณะที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์นั้น ชาวบ้านจะนำน้ำผึ้งมาใส่บาตรและนำน้ำตาลใส่ในจานที่วางคู่กับบาตร ส่วนอาหารคาวหวาน
จะใส่ในภาชนะที่วางแยกไว้อีกด้านหนึ่ง อาหารพิเศษที่นำมาใส่บาตร ได้แก่ ข้าวต้มมัด ถวายเพื่อให้พระฉันจิ้มกับน้ำผึ้งหรือน้ำตาล

สาระ :
            การตักบาตรน้ำผึ้งเป็นกิจกรรมที่น้อมนำให้ระลึกถึงองค์ผู้มีพระภาคเจ้าที่มีความเกี่ยวข้องกับสัตว์เดียรัจฉาน สัตว์ยังรู้คุณค่าของศาสนาด้วยการเสาะแสวงหาภิกษาหารนำมาถวายพุทธองค์เพื่อได้สดับตรับฟังธรรม พุทธศาสนิกชนจึงนำรูปแบบของการนำปัจจัยมาถวายเพื่อจุดหมายการได้ฟังธรรมเทศนาเช่นกัน

ประเพณีกวนข้าวทิพย์หรือข้าวมธุปายาธ

ข้าวมธุปยาธ

ชื่อประเพณี  กวนข้าวทิพย์ หรือข้าวมธุปายาธ

จังหวัด :   ชัยนาท

ช่วงเวลา :

             วันที่ ๔ ธันวาคม ของทุกปี ณ หมู่บ้านหนองพังนาคตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ชาวบ้านจะทำพิธีกวนข้าวทิพย์ หรือข้าวมธุปายาธจนเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

ความสำคัญ  :

              ตามประวัติสมัยพุทธกาล เชื่อว่านางสุชาดา ได้นำข้าวทิพย์ หรือข้าวมธุปายาธถวายพระพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง ดังนั้นชาวพุทธจึงถือว่าข้าวทิพย์ หรือข้าวมธุปายาธเป็นอาหารทิพย์ และได้ทำถวายแด่พระสงฆ์์ในฤดูก่อนเดือนสิบสอง

พิธีกรรม  :

             เนื่องจากวัสดุที่สำคัญในการทำข้าวทิพย์ คือน้ำข้าวจากต้นข้าวที่กำลังเป็นน้ำนม ใน ประเทศไทยเชื่อกันว่ามีหลายจังหวัดที่ทำสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานานถึงปัจจุบัน แต่สำหรับจังหวัดชัยนาทมีทำกันตลอดที่ตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
ทำกันแทบทุกหมู่บ้าน แต่ปัจจุบันทำกันตลอดมาทุกปีจนถือเป็นประเพณีที่หมู่บ้านหนองพังนาค

สาระ  :

             ประเพณีกวนข้าวทิพย์ เป็นประเพณีที่สร้างความสามัคคีในกลุ่มชนในอันที่จะร่วมกันนำเอาวัสดุข้าวของต่าง ๆ มาร่วมทำบุญ เมื่อเสร็จและถวายเป็นพุทธบูชาก็แบ่งปันกันไปรับประทานเพื่อความเป็นสิริมงคล


ภาคอีสาน
พระธาตุพนม


 ประเพณีบุญบั้งไฟ

ขบวนแห่บั้งไฟ

จังหวัด :  ยโสธร  

ช่วงเวลา : เดือนพฤษภาคม

ความสำคัญ :
            ชาวจังหวัดยโสธรร้อยละ ๘๕ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ชาวยโสธรจึงจัดประเพณีบุญบั้งไฟเป็นการทำบุญประจำปีทุกปีในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนฤดูการทำนา เป็นพิธีขอฝนจากพญาแถนให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล

พิธีกรรม ประกอบด้วย :
            ๑. การเซิ้งเพื่อขอรับบริจาคทรัพย์สินเงินทอง และอาหารการกิน เพื่อนำมาเป็นทุนในการจัดทำบั้งไฟและเป็นเสบียงสำหรับผู้จัดทำบั้งไฟ
             ๒. การประกวดขบวนแห่บั้งไฟสวยงาม (บั้งไฟโก้)
            ๓. การประกวดขบวนรำเซิ้ง
            ๔. การประกวดธิดาบั้งไฟโก้
            ๕. การแข่งขันจุดบั้งไฟขึ้นสูง
            ๖. การแข่งขันจุดบั้งไฟ แฟนซี (บั้งไฟ แสง สี เสียง)
            ๗. การประกวดกองเชียร์บั้งไฟในวันแข่งขันจุดบั้งไฟขึ้นสูง

สาระ :
             ๑. เป็นการตักเตือนให้รู้ว่าธรรมชาติเป็นสิ่งไม่แน่นอน เกษตรกรไม่ควรประมาท
            ๒. เป็นงานประเพณีที่สร้างความสนุกสนาน และความสมัครสมานสามัคคี
ของประชาชน
            ๓. กิจกรรมการเซิ้ง สอนให้คนในสังคมรู้จักการบริจาคทาน และการเสียสละ
            ๔. เป็นงานประเพณีที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวจังหวัดยโสธร  

 ประเพณีผีตาโขน 


ผีตาโขน

จังหวัด :  เลย    

ช่วงเวลา  : ช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน ของทุกปี

ความสำคัญ  :

             การละเล่นผีตาโขนมีมานานแล้วแต่ไม่มีหลักฐานปรากฎแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ชาวบ้านได้ปฏิบัติและสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ เป็นประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ประจำจังหวัดเลย แสดงในงาน "บุญหลวง" ซึ่งเป็นการรวมเอาบุญผะเหวดและบุญบั้งไฟเป็นบุญเดียวกัน เพื่อเป็นการบูชาอารักษ์หลักเมือง และพิธีการบวงสรวงดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าในอดีต

พิธีกรรม  :

            มีการจัดทำพิธี ๒ วัน คือ วันแรก (วันโฮม) ขบวนผีตาโขนจะแห่รอบหมู่บ้านตั้งแต่เช้ามืด เป็นการทำพิธีอัญเชิญ พระอุปคุตเข้ามาอยู่ที่วัด ในวันที่สองเป็นพิธีการแห่พระเวสสันดรและนางมัทรีเข้าเมือง โดยสมมุติให้วัดเป็นเมืองสำหรับวันที่สองของงานนี้ ชาวบ้านยังได้นำบั้งไฟมาร่วมในขบวนแห่เพื่อเป็นพิธีขอฝนโดยแห่รอบวัด ๓ รอบ ในขณะที่แห่อยู่นั้นเหล่าผีตาโขนทั้งหลายก็จะละเล่นหยอกล้อผู้คนไปเรื่อย ๆ เพื่อทำให้เกิดความสนุกสนาน หลังจากเสร็จพิธีการแห่แล้วบรรดาผู้ละเล่นผีตาโขนจะนำเครื่องเล่นผีตาโขน และอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบพิธีไปล่องลงแม่น้ำหมัน และในตอนค่ำของวันเดียวกัน จะมีการฟังเทศน์มหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์

สาระ  :

              การละเล่นผีตาโขนนับว่าเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับผู้พบเห็น มีการนำเอาก้านทางมะพร้าวที่แห้ง นำมาตกแต่งเป็นหน้ากาก โดยการเจาะช่องตา จมูก ปาก และใบหู นำเอาหวดนึ่งข้าว โดยกดดันหวดให้เป็นรอยบุ๋มหงายปากหวดขึ้น เพื่อสวมศีรษะแต่งแต้มสีสันให้น่าดู ส่วนชุดที่สวมใส่ทำมาจากเศษผ้าหลากหลายสีมาเย็บต่อกัน อุปกรณ์ในการละเล่นมี ๒ ชิ้น คือ "หมากกระแหล่ง" มีไว้เพื่อเขย่าทำให้เกิดเสียงดังในเวลาเดิน และ "อาวุธประจำกาย" ผีตาโขนส่วนมากจะใช้ผู้ชายแสดงเนื่องจากต้องกระโดดโลดเต้นไปเรื่อย ๆ จึงไม่เหมาะที่จะใช้ผู้หญิงเป็นตัวแสดง นอกจากเข้าร่วมในงาน "บุญหลวง" ยังได้เข้าร่วมขบวนแห่ในวันเปิดงานกาชาดดอกฝ้ายบานมะขามหวานเมืองเลย โดยขบวนผีตาโขนจะเดินรอบเมือง
เพื่อโชว์ให้แขกบ้านแขกเมืองได้เห็น

ประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา


แห่เทียนพรรษา
จังหวัด :  อุบลราชธานี

ช่วงเวลา :  วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 และแรม 1 ค่ำเดือน 8 
หรือวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา

ความสำคัญ :
             งานแห่เทียนพรรษาเป็นประเพณีปฏิบัติของชาวพุทธที่ได้กระทำมาแต่ครั้งพุทธกาลเหตุที่ทำให้เกิดประเพณีเพราะสมัยก่อนมีภิกษุได้เดินไปเหยียบย่ำข้าวกล้าในนาของชาวบ้านทำให้ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้อนุญาติให้ภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษาที่วัดเป็นเวลา 3 เดือนคือในช่วงวันแรมหนึ่งค่ำเดือนแปด ถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำ
เดือน 11ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวของชาวบ้านพอดีในช่วงเข้าพรรษานี้ประชาชนจะนำเทียนไปถวายพระภิกษุเพราะเชื่อว่าจะทำให้ตนเฮลียวแลาดมีไหวพริบปฏิภาณประดุจขี้ผึ้งที่ใช้ทำเทียนที่ได้จากรังผึ้ง

พิธีกรรม :
             ขบวนแห่เทียนเข้าพรรษาจัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นคือ วันเข้าพรรษาตั้งแต่เวลาประมาณเวลา 8.00 น. โดยจะเคลื่อนขบวนไปตามถนนอุปราช ผ่านหน้าศาลากลาง  ไปถนนชยางกูร  เป็นระยะทาง 2-3 กม. จึงสลายขบวนรูปแบบของการจัดขบวนประกอบด้วย  ขบวนแห่เทียนหลวงพระราชทาน ขบวนต้นเทียนคุ้มวัดต่างๆซึ่งแต่ละขบวนจะประกอบด้วยการแสดงการละเล่น การฟ้อนรำ  การบรรเลงคนตรีในรูปแบบของศิลปวัฒนธรรมพื้นเมือง


สาระ :     
            ต้นเทียนผลิตงานด้านศิลปะอย่างต่อเนื่องตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นศิลปะงานร่วมสมัย  งานหัตกรรมพื้นบ้านทั้งในด้านการสืบสานจารีตประเพณีพื้นเมือง  และในด้านศิลปะการตกแต่งต้นเทียน

ประเพณีไหลเรือไฟ

ไหลเรือไฟ

จังหวัด :  นครพนม    

ช่วงเวลา : วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ (ประมาณเดือนตุลาคม)

ความสำคัญ :

              เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่ประทับไว้ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ในแคว้นทักษิณาบทประเทศอินเดีย  เพื่อบูชาท้าวผกาพรหมเพื่อขอขมาลาโทษแม่น้ำที่เราทำให้สกปรก เพื่อเอาไฟเผาความทุกข์ให้หมดไปแล้วลอยไปกับแม่น้ำ

พิธีกรรม :

              นำเรือไปลอยในแม่น้ำ ก่อนลอยให้กล่าวคำบูชาดังนี้"อะหัง อิมินา ปะทีเปนะ นัมมากายะ นะทิยา ปุเลนิ ปาทะวะอัญชิง อภิปูเชนิ อะยัง ปะทีเปนะ มุนิโน ปาทะวะอัญชัง ปูชา มัยหัง ที่ฆรัตตัง หิตายะ สุขายะ สังวัตคะตุ" แปลว่า  ข้าพเจ้าขอน้อมบูชารอยพระพุทธบาทของพระมุนีเจ้าอันประดิษฐานอยู่ ณ หาดทรายแห่งแม่น้ำนัมมทานทีโพ้นด้วยประทีปนี้ ขอให้การบูชารอยพระบาทสมเด็จพระมุนีเจ้าด้วยประทีป ในครั้งนี้จงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ
สาระ :
             เปรียบเทียบให้เห็นชีวิตมนุษย์ มีเกิด มีเจริญก้าวหน้า และดับไปในที่สุดหรือ ชีวิตมนุษย์เป็นอนิจจัง"



 ภาคใต้

ประเพณีลากพระ(ชักพระ)


ประเพณีลากพระ


ช่วงเวลา :
          วันลากพระ จะทำกันในวันออกพรรษา คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ โดยตกลงนัดหมายลากพระไปยังจุดศูนย์รวม วันรุ่งขึ้น แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ จึงลากพระกลับวัด

ความสำคัญ :

         เป็นประเพณีทำบุญในวันออกพรรษา ปฏิบัติตามความเชื่อว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระมารดา เมื่อครบพรรษาจึงเสด็จกลับมายังโลกมนุษย์ พุทธศาสนิกชนไปรับเสด็จ แล้วอัญเชิญพระพุทธเจ้า ประทับบนบุษบกแล้วแห่แหน

พิธีกรรม :

         ๑. การแต่งนมพระ
         นมพระ หมายถึงพนมพระเป็นพาหนะที่ใช้บรรทุกพระลาก นิยมทำ ๒ แบบ คือ ลากพระทางบก เรียกว่า นมพระ ลากพระทางน้ำ เรียกว่า "เรือพระ" นมพระสร้างเป็นร้านม้า มีไม้สองท่อนรองรับข้างล่าง ทำเป็นรูปพญานาค มีล้อ ๔ ล้ออยู่ใต้ตัวพญานาค ร้านม้าใช้ไม้ไผ่สานทำฝาผนัง ตกแต่งลวดลายระบายสีสวย รอบ ๆ ประดับด้วยผ้าแพรสี ธงริ้ว ธงสามชาย ธงราว ธงยืนห้อยระยาง ประดับต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้สดทำอุบะห้อยระย้า มีต้มห่อด้วยใบพ้อแขวนหน้านมพระ ตัวพญานาคประดับกระจกแวววาวสีสวย ข้าง ๆ นมพระแขวนโพน กลอง ระฆัง ฆ้อง ด้านหลังนมพระวางเก้าอี้ เป็นที่นั่งของพระสงฆ์ ยอดนมอยู่บนสุดของนมพระ ได้รับการแต่งอย่างบรรจงดูแลเป็นพิเศษ เพราะความสง่าได้สัดส่วนของนมพระขึ้นอยู่กับยอดนม
          ๒. การอัญเชิญพระลากขึ้นประดิษฐานบนนมพระ
          พระลาก คือพระพุทธรูปยืน แต่ที่นิยมคือ พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ พุทธบริษัทจะสรงน้ำพระลากเปลี่ยนจีวร แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนนมพระแล้วพระสงฆ์จะเทศนาเรื่องการเสด็จไปดาวดึงส์ของพระพุทธเจ้า ตอนเช้ามืดในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑  ชาวบ้าน จะมาตักบาตรหน้านมพระ เรียกว่า ตักบาตรหน้าล้อ เสร็จแล้วจึงอัญเชิญพระลากขึ้นประดิษฐานบนนมพระ ในตอนนี้บางวัดจะทำพิธีทางไสยศาสตร์
เพื่อให้การลากพระราบรื่น ปลอดภัย
          ๓. การลากพระ
           ใช้เชือกแบ่งผูกเป็น ๒ สาย เป็นสายผู้หญิงและสายผู้ชาย โดยใช้โพน (ปืด) ฆ้องระฆัง เป็นเครื่องตีให้จังหวะเร้าใจในการลากพระ  คนลากจะเบียดเสียดกันสนุกสนานและประสานเสียงร้องบทลากพระเพื่อผ่อนแรง ตัวอย่าง  บทร้องที่ใช้ลากพระสร้อย : 
         อี้สาระพา เฮโล เฮโล
         ไอ้ไหรกลมกลม หัวนมสาวสาว
         ไอ้ไหรยาวยาว สาวสาวชอบใจ

สาระ :

         ประเพณีลากพระ เป็นการแสดงออกถึงความพร้อมเพรียง สามัคคีพร้อมใจกันในการทำบุญทำทาน จึงให้สาระและความสำคัญดังนี้
        ๑. ชาวบ้านเชื่อว่า อานิสงส์ในการลากพระ จะทำให้ฝนตกตามฤดูกาล เกิดคติความเชื่อว่า "เมื่อพระหลบหลัง ฝนจะตกหนัก"  นมพระจึงสร้างสัญลักษณ์พญานาค เพราะเชื่อว่าให้น้ำ การลากพระจึงสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในสังคมเกษตร
        ๒. เป็นประเพณีที่ปฏิบัติตามความเชื่อว่า ใครได้ลากพระทุกปี จะได้บุญมาก ส่งผลให้พบความสำเร็จในชีวิต ดังนั้นเมื่อนมพระลากผ่านหน้าบ้านของใคร คนที่อยู่ในบ้านจะออกมาช่วยลากพระ และคนบ้านอื่นจะมารับทอดลากพระต่ออย่างไม่ขาดสาย
        ๓. เกิดแรงบันดาลใจ แต่งบทร้อยกรองสำหรับขับร้องในขณะที่ช่วยกันลากพระ ซึ่งมักจะเป็นบทกลอนสั้น ๆ ตลก ขบขัน และโต้ตอบกัน ได้ฝึกทั้งปัญญาและปฏิภาณไหวพริบ 

 ประเพณีการแข่งโพน


ประเพณีการแข่งโพน


จังหวัด :   พัทลุง

ช่วงเวลา :    ปลายเดือนสิบ ก่อนประเพณีชักพระ

ความสำคัญ :
            วัดต่าง ๆ เตรียมทำบุษบก หุ้มโพน และเริ่มการคุมโพนเพื่อเป็นการประกาศ
ให้ชาวบ้านรู้ว่า ทางวัดจะจัดให้มีการชักพระ ต่อมามีการโต้เถียงเกี่ยวกับเสียงโพน จึงคิดเล่นสนุกสนานมากขึ้น มีการท้าพนันกันบ้างว่า ผู้ตีโพนคนใดเรี่ยวแรงดีที่สุด ลีลาท่าทางการตีดีที่สุด โพนวัดใดเสียงดังมากที่สุด จึงมีการแข่งขันตีโพนกันขึ้นในระยะ แรก ๆ เข้าใจว่า คงตีแข่งขันภายในวัดและค่อยขยายออกมาภายนอกวัด เพิ่มจำนวนโพนขึ้น จัดประเภทและมีกติกามากขึ้น การคิดเล่นสนุกสนานเหล่านี้ ทำให้มีการแข่งโพนกันอย่างกว้างขวางในระยะหลัง และกลายเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สืบต่อกันมา ปัจจุบันการแข่งโพนเป็น กิจกรรมการละเล่นที่สำคัญของจังหวัดพัทลุง

พิธีกรรม :
            การแข่งโพนแบ่งได้เป็น ๒ อย่าง คือ
            ๑. แข่งมือ ตัดสินให้ผู้ตีที่มีกำลังมือดีกว่าเป็นฝ่ายชนะ โดยให้ตีจนผู้ใดอ่อนล้าก่อน
เป็นฝ่ายแพ้ ปัจจุบันไม่นิยมเพราะทำให้เสียเวลามาก
            ๒. แข่งเสียง ตัดสินให้โพนที่มีเสียงดังกว่าเป็นฝ่ายชนะ  การแข่งขันจะเป็นแบบ
พบกันหมดหรือแพ้คัดออกก็ได้ จับสลากแข่งขันเป็นคู่ ๆ  ใช้ผู้ตีฝ่ายละ ๑ คน กรรมการ ๓ - ๕ คน ตัดสินให้คะแนน โดยอยู่ห่างจากสถานที่ตีไม่น้อยกว่า ๑๕๐ เมตร ณ สถานที่ตี กรรมการควบคุมการตีและคุมเวลา เรียกคู่โพนเข้าประจำที่ ลองตีก่อนฝ่ายละประมาณ ๓๐ วินาที เพื่อดูว่าโพนฝ่ายใดมีเสียงทุ้ม และโพนฝ่ายใดมีเสียงแหลม จากนั้นเริ่มให้ทั้งคู่ตีพร้อมกันภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งโดยมากจะใช้เวลา ๑๐ - ๑๕ นาที ขณะที่โพนกำลังตีแข่งขันอยู่นั้น กรรมการฟังเสียงทั้งหมดจะตั้งใจฟังเสียงโพนแล้วตัดสินให้โพนที่มีเสียงดังกว่าเป็นฝ่ายชนะ โดยถือเอาเสียงข้างมากของกรรมการเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน

สาระ :
            การแข่งขันโพน นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันกับพิธีการทางศาสนา
บางประการแล้ว กิจกรรมการละเล่นชนิดนี้ยังช่วยให้มองเห็นการแสวงหาความสุข ความบันเทิงใจ อีกทั้งยังเป็นสื่อในการประสานความสัมพันธ์ทางสังคม ทำให้ชาวบ้าน
มีโอกาสพบปะสัมพันธ์กัน เป็นกิจกรรมการละเล่นที่สำคัญนำมาสู่การสร้างสรรค์ ความสามัคคีในชุมชน จึงควรอนุรักษ์ให้ การละเล่นชนิดนี้คงอยู่ตลอดไป
 ประเพณีสารทเดือนสิบ


ประเพณีสารทเดือนสิบ
      
            ประเพณีสารทเดือนสิบ  เป็นประเพณีที่สำคัญของชาวภาคใต้โ ดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราช เป็นประเพณีที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย และได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ประเพณีสารทเดือนสิบมีพื้นฐานมาจากความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่ว่า ในวันแรม  ๑  ค่ำเดือนสิบ  พญายมจะปล่อย “เปรต”  จากนรกภูมิให้ขึ้นมาพบญาติพี่น้องของตนในเมืองมนุษย์ 
และให้กลับขึ้นสู่นรกในวันแรม ๑๕  ค่ำ เดือนสิบ  โอกาสนี้ชาวบ้านจึงจัดให้มีการทำบุญ  อุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อแม่  ปู่ย่า  ตายาย  และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว งานบุญนี้ถือว่า เป็นงานสำคัญวันหนึ่งวงศ์ตระกูล ในอันที่จะได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาจิตต่อบรรพชน  เป็นงานรวมญาติรวมความรัก  
แสดงความสามัคคี เป็นการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นบรรดาญาติพี่น้องจากทั่วทุกสารทิศ
ก็จะต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมเพื่อร่วมทำบุญในประเพณีที่สำคัญนี้

ความมุ่งหมายของประเพณีสารทเดือนสิบ :


            ประเพณีสารทเดือนสิบ  มีความมุ่งหมายสำคัญอยู่ที่ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อแม่  ปู่ย่า  ตายาย และญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ด้วยเหตุที่วิถีชีวิตของชาวนครศรีธรรมราชเป็นวิถีชีวิตแห่งพระพุทธศาสนาในสังคมเกษตรกรรมจึงมีความมุ่งหมายอื่นร่วมอยู่ด้วย  
            ๑) เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศล  ให้กับพ่อแม่  ปู่ย่า  ตายาย  ญาติพี่น้องหรือบุคคลอื่นผู้ล่วงลับไปแล้ว  
            ๒) เป็นการทำบุญ ด้วยการเอาผลผลิตทางการเกษตรแปรรูปเป็นอาหารถวายพระสงฆ์ รวมถึงการจัดหฺมฺรับถวายพระในลักษณะของ  “สลากภัต”  นอกจากนี้ยังถวายพระในรูปของผลผลิตที่ยังไม่แปรสภาพ  เพื่อเป็นเสบียงแก่พระสงฆ์ในช่วงเข้าพรรษาในฤดูฝน  ทั้งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
ครอบครัว  และเพื่อผลในการประกอบอาชีต่อไป
            ๓) เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความสนุกสนานรื่นเริงประจำปี  เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกประเพณีของชาวนคร  แต่ประเพณีนี้มีชื่อเสียงมากที่สุด  ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุก ๆ ปี  เรียกว่า  “งานเดือนสิบ”  ซึ่งงานเดือนสิบนี้ได้จัดควบคู่กับประเพณีสารทเดือนสิบ  มาตั้งแต่ พ.ศ. 2466  จนถึงปัจจุบัน


 ประเพณีการแข่งเรือกอและด้วยฝีพาย


ประเพณีแข่งเรือกอและด้วยฝีพาย
  
ช่วงเวลา :ประเพณีการแข่งเรือกอและและเรือยาวด้วยฝีพายหน้าพระที่นั่ง ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๕ กันยายน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จแปรพระราชฐาน
มาประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์

ความสำคัญ :
            ในการเสด็จแปรพระราชฐานทุกครั้งจะทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดใกล้เคียงทุกหมู่เหล่า ทรงวางโครงการน้อยใหญ่เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีความสงบสุขร่มเย็นด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ ประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาสต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจัดให้มีการแข่งขันเรือกอและอันเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวจังหวัดนราธิวาส  ถวายทอดพระเนตรเพื่อเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นและเป็นการฟื้นฟู
ประเพณีการแข่งเรือกอและด้วยฝีพาย หน้าพระที่นั่ง และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้จัดการแข่งขันเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ อีกทั้งได้พระราชทานถ้วยรางวัลแก่ทีมเรือที่ชนะการแข่งขันด้วย

สาระ :
             การแข่งขันใช้เรือกอและระยะทาง ๖๕๐ เมตร ผู้ควบคุมลำละ ๑ คน จำนวนฝีพายรวมทั้งนายท้ายไม่เกินลำละ ๒๓ คน และมีฝีพายสำรองไม่เกินลำละ ๕ คน  การเปลี่ยนตัวในแต่ละเที่ยวทำได้เที่ยวละไม่เกิน ๕ คน ทั้งนี้ให้ผู้ควบคุมทีมประจำเรือแจ้งให้คณะกรรมการปล่อยเรือทราบเรือที่เข้าแข่งขันทุกลำต้องถึงจุดเริ่มต้น (จุดปล่อยเรือ) ก่อนเวลาที่กำหนดแข่งขันในรอบนั้น หากไปช้ากว่ากำหนดเกิน ๑๕ นาที ถือว่าสละสิทธิ์จะปรับแพ้ในรอบนั้นได้ ก่อนการได้ยินสัญญาณ ณ จุดเริ่มต้นฝีพายทุกคนยกพายให้พ้นผิวน้ำ  ยกเว้นนายท้ายเรือให้ใช้พายคัดท้ายเรือบังคับเรือให้หยุดนิ่ง และจะต้องวิ่งในลู่ของตน  หากวิ่งผิดลู่หรือสายน้ำถือว่าผิดกติกาให้ปรับเป็นแพ้ในเที่ยวนั้น เรือที่เข้าถึงเส้นชัยก่อนลำอื่น
โดยถือหัวเรือสุดเป็นการชนะการแข่งขันในเที่ยวนั้น การแข่งขันแบ่งเป็น ๔ รอบ รอบที่ ๑  และรอบที่ ๒ เป็นรอบคัดเลือก รอบที่ ๓ เป็นรอบรองชนะเลิศและรอบที่ ๔ เป็นรอบชิงชนะ
 เลิศ



ที่มา: http://personal.swu.ac.th/students/sc511010667/CP/north.html



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น